นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะทำงานขับเคลื่อนกิจกรรมเสริมสภาพคล่องการรับซื้อผลไม้ ภายใต้โครงการบริหารจัดการผลไม้ปี 66 ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข ในการขอรับการสนับสนุนค่าชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ ในอัตราไม่เกิน 3% ให้กับสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการค้าผลไม้ ที่ได้กู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อมารับซื้อผลไม้ 8 ชนิด จากเกษตรกร ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลำไย ลิ้นจี่ ลองกอง มะม่วง และสับปะรด โดยมีระยะเวลาชดเชยดอกเบี้ยไม่เกิน 6 เดือน มีกรอบวงเงินกู้ยืมสูงสุดรายละไม่เกิน 100 ล้านบาท
สำหรับสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการค้าผลไม้ ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ จะต้องจดทะเบียนถูกต้องกับหน่วยงานที่กำกับดูแล ได้แก่ กรณีสหกรณ์การเกษตรและกลุ่มเกษตรกรที่จดทะเบียนกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร และผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า รวมทั้งจะต้องมีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมรับซื้อผลไม้ ทั้งนี้ กรณีของผู้ประกอบการ จะต้องมีผู้ถือหุ้นและกรรมการเป็นสัญชาติไทยทั้งหมดคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
“ผู้ที่สนใจยื่นสมัครเข้าร่วมโครงการกับธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารของรัฐ ได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 12 พ.ค. 66 จากนั้นสถาบันการเงินจะพิจารณาและตรวจสอบ ก่อนเสนอวงเงินที่อนุมัติกลับมายังคณะทำงานฯ ภายในวันที่ 26 พ.ค. 66 ซึ่งคณะทำงานฯ จะพิจารณาก่อนประกาศรายชื่อผู้ได้รับการอนุมัติเข้าร่วมโครงการ และผู้กู้สามารถที่จะเบิกเงินกู้ได้ เมื่อถึงเวลาชำระคืนเงิน ให้ผู้กู้ยื่นขอรับชดเชยอัตราดอกเบี้ยกับคณะทำงานฯ ตั้งแต่ 15 ส.ค.-15 ธ.คคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. 2566 และจะชดเชยอัตราดอกเบี้ยให้ไม่เกิน 3%”
นายวัฒนศักย์ กล่าวว่า วงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารของรัฐ ที่จะได้รับการชดเชยดอกเบี้ย ต้องมีการเบิกใช้สินเชื่อจากวงเงินดังกล่าว เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมรับซื้อผลไม้ฤดูการผลิตปี 66 จากเกษตรกร ครอบคลุมผลไม้ 8 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลำไย ลิ้นจี่ ลองกอง มะม่วง และสับปะรด ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มี.ค.-31 ต.ค. 66
“กรมฯ มั่นใจว่ามาตรการช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการค้าผลไม้ ด้วยการช่วยเหลือดอกเบี้ยไม่เกิน 3% นี้ จะช่วยเสริมสภาพคล่อง และทำให้มีเงินทุนไปใช้ในการรับซื้อผลไม้จากเกษตรกร และช่วยแก้ปัญหาผลผลิตออกกระจุกตัว และล้นตลาดลงได้ รวมทั้งจะช่วยผลักดันให้ราคาผลไม้ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย จากการที่มีผู้ซื้อเข้าไปแย่งซื้อผลผลิต”